อันดับที่ 10 : คำตอบสุดท้าย (Airborne)
10,478,264
อันดับที่ 9 : เธอทำให้ฉันเสียใจ (ค็อกเทล*)
10,952,826
อันดับที่ 8 : ยังไม่พ้นขีดอันตราย (บอย พีชเมกเกอร์)
11,125,138
อันดับที่ 7 : รักไม่ต้องการเวลา (หนูนา)
12,478,264
อันดับที่ 6 : เหตุผลที่ไม่อยากเป็นเพื่อนเธอ (so cool)
13,696,927
อันดับที่ 5 : พูดไม่คิด (season five feat.ฟักกลิ้ง ฮีโร่)
14,074,584
อันดับที่ 4 : คันหู (จ๊ะ เทอร์โบ)
15,194,806
อันดับที่ 3 : อยู่คนเดียว (เบิร์ด ธงไชย)
15,448,968
อันดับที่ 2 : กินตับ (เท่ง เถิดเทิง)
15,657,080
และอันดับที่ 1 คือ.....
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
อันดับที่ 1 : กรุณาฟังให้จบ (แช่ม แช่มรัมย์)
17,898,538
ที่มา >>> http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2276246
~ Music Chill ~
วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555
รู้จักประเภทของเครื่องดนตรีรึยังงงง ????
เครื่องดีด
กีตาร์
เบส
ฮาร์ป
เครื่องสี
ไวโอลา
ไวโอลิน
เชลโล
ดับเบิลเบส
เครื่องตี
กลองชุด
กลองฝรั่ง
ฉาบ
เบลไลรา
ไซโลโฟน (Xylophone)
ไลน์เบล (Line Bell)
ไทรแองเกิ้ล (Triangle)
เครื่องเป่าลมไม้
ฟลุต (Flute)
แซกโซโฟน (Saxophone)
โอโบ (Oboe)
คลาริเน็ต (Clarinet)
บาสซูน (Bassoon)
รีคอร์ดเดอร์ (Recorder)
เครื่องเป่าทองเหลือง
แตร
ทรอมโบน (Trombone)
ทรัมเป็ต (Trumpet)
ทูบา (Tuba)
ออโตฮอร์น (Autohorn)
เฟรนฮอร์น (French Horn)
ดับเบิ้ลเฟรนฮอร์น (Double French Horn)
ที่มา >>> http://studentwork.srp.ac.th/Website/Art/music/ded.htm
กีตาร์
เบส
ฮาร์ป
เครื่องสี
ไวโอลา
ไวโอลิน
เชลโล
ดับเบิลเบส
เครื่องตี
กลองชุด
กลองฝรั่ง
ฉาบ
เบลไลรา
ไซโลโฟน (Xylophone)
ไลน์เบล (Line Bell)
ไทรแองเกิ้ล (Triangle)
เครื่องเป่าลมไม้
ฟลุต (Flute)
แซกโซโฟน (Saxophone)
โอโบ (Oboe)
คลาริเน็ต (Clarinet)
บาสซูน (Bassoon)
รีคอร์ดเดอร์ (Recorder)
เครื่องเป่าทองเหลือง
แตร
ทรอมโบน (Trombone)
ทรัมเป็ต (Trumpet)
ทูบา (Tuba)
ออโตฮอร์น (Autohorn)
เฟรนฮอร์น (French Horn)
ดับเบิ้ลเฟรนฮอร์น (Double French Horn)
ที่มา >>> http://studentwork.srp.ac.th/Website/Art/music/ded.htm
ธรรมชาติของดนตรี
ผู้รู้ทางด้านดนตรีหลายท่านได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติของดนตรีไว้หลายรูปแบบด้วยกัน
ในที่นี้จะนำมากล่าวไว้โดยสังเขปดังนี้
1. ดนตรีเกิดจากการแสดงออกทางอารมณ์ของมนุษย์ เช่น เมื่อเกิดความพอใจสนุกสนาน ก็เปล่งเสียงออกมา หรือปรบมือกระทืบเท้าบ้าง ใช้ไม้เคาะสิ่งต่างๆ บ้าง นาน ๆ เข้าก็หาวิธีการที่จะทำให้เกิดเสียงแปลก ๆ โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ
เข้าช่วย จนกลายเป็นเสียงดนตรีไปในที่สุด เสียงดนตรียุคแรก ๆ จึงเป็นการเลียนเสียงธรรมชาติที่มีไม่กี่เสียง จังหวะก็ง่าย ๆ แล้วจึงได้รับการพัฒนามาเป็นลำดับ มนุษย์แต่ละเผ่าต่างก็มีดนตรีของตนเองเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
2. ดนตรีเป็นเรื่องของศิลปะที่เกี่ยวกับเสียงที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้น โดยมนุษย์อาจลอกเลียนเสียงมาจากธรรมชาติหรือเสียงอะไรก็ตาม แล้วนำเสียงนั้นมาเรียบเรียงให้มีระเบียบ และที่สำคัญที่สุด คือ ดนตรีต้องมีอารมณ์ในการที่จะสื่อไปยังผู้ฟัง
3. ดนตรีมีธรรมชาติที่แตกต่างไปจากศิลปะแขนงอื่น ๆ ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้
1. ดนตรีเป็นสื่อทางอารมณ์ที่สัมผัสได้ด้วยหู กล่าวคือ หูนับเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำให้คนเราสามารถสัมผัสกับดนตรีได้ ผู้ที่หูหนวกย่อมไม่สามารถทราบได้ว่าเสียงดนตรีนั้นเป็นอย่างไร
2. ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม กล่าวคือ กลุ่มชนต่าง ๆ จะมีวัฒนธรรมของตนเอง และวัฒนธรรมนี้เองที่ทำให้คนในกลุ่มชนนั้นมีความพอใจและซาบซึ้งในดนตรีลักษณะหนึ่งซึ่งอาจแตกต่างไปจากคนในอีกวัฒนธรรมหนึ่ง ตัวอย่างเช่น คนไทยเราซึ่งเคยชินกับดนตรีไทยและดนตรีสากล เมื่อไปฟังดนตรีพื้นเมืองของอินเดียก็อาจไม่รู้สึกซาบซึ้งแต่อย่างใด แม้จะมีคนอินเดียคอยบอกเราว่าดนตรีของเขาไพเราะเพราะพริ้งมากก็ตาม เป็นต้น
3. ดนตรีเป็นเรื่องของสุนทรียศาสตร์ว่าด้วยความไพเราะ ความไพเราะของดนตรีเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถซาบซึ้งได้และเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ กับทุกคน ทุกระดับ ทุกชนชั้น ตามประสบการณ์ของแต่ละบุคคล
4. ดนตรีเป็นเรื่องของการแสดงออกทางอารมณ์ เสียงดนตรีจะออกมาอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับเจ้าของอารมณ์ที่จะช่วยถ่ายทอดออกมาเป็นเสียง ดังนั้นเสียงของดนตรีอาจกล่าวได้ว่าอยู่ที่อารมณ์ของผู้ประพันธ์เพลงที่จะใส่อารมณ์ลงไปในเพลงตามทีตนต้องการ ผู้บรรเลงเพลงก็ถ่ายทอดอารมณ์จากบทประพันธ์ลงบนเครื่องดนตรี ผลที่กระทบต่อผู้ที่ฟังก็คือ เสียงดนตรีที่ประกอบขึ้นด้วยอารมณ์ของผู้ประพันธ์ผสมกับความสามารถของนักดนตรีที่จะถ่ายทอดได้ถึงอารมณ์หรอมีความไพเราะมากน้อยเพียงใด
5. ดนตรีเป็นทั้งระบบวิชาความรู้และศิลปะในขณะเดียวกัน กล่าวคือ ความรู้เกี่ยวกับดนตรีนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับเสียงและการจัดระบบเสียงให้เป็นท่วงทำนองและจังหวะ ซึ่งคนเราย่อมจะศึกษาเรียนรู้ “ความรู้ที่เกี่ยวกับดนตรี” นี้ก็ได้ โดยการท่อง จำ อ่าน ฟัง รวมทั้งการลอกเลียนจากคนอื่นหรือการคิดหาเหตุผลเอาเองได้ แต่ผู้ที่ได้เรียนรู้จะมี “ความรู้เกี่ยวกับดนตรี” ก็อาจไม่สามารถเข้าถึงความไพเราะหรือซาบซึ้งในดนตรีได้เสมอไป เพราะการเข้าถึงดนตรีเป็นเรื่องของศิลปะ เพียงแต่ผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับดนตรีนั้นจะสามารถเข้าถึงความไพเราะของดนตรีได้ง่ายขึ้น
ที่มา >>>> http://studentwork.srp.ac.th/Website/Art/music/nat02.htm
ในที่นี้จะนำมากล่าวไว้โดยสังเขปดังนี้
1. ดนตรีเกิดจากการแสดงออกทางอารมณ์ของมนุษย์ เช่น เมื่อเกิดความพอใจสนุกสนาน ก็เปล่งเสียงออกมา หรือปรบมือกระทืบเท้าบ้าง ใช้ไม้เคาะสิ่งต่างๆ บ้าง นาน ๆ เข้าก็หาวิธีการที่จะทำให้เกิดเสียงแปลก ๆ โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ
เข้าช่วย จนกลายเป็นเสียงดนตรีไปในที่สุด เสียงดนตรียุคแรก ๆ จึงเป็นการเลียนเสียงธรรมชาติที่มีไม่กี่เสียง จังหวะก็ง่าย ๆ แล้วจึงได้รับการพัฒนามาเป็นลำดับ มนุษย์แต่ละเผ่าต่างก็มีดนตรีของตนเองเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
2. ดนตรีเป็นเรื่องของศิลปะที่เกี่ยวกับเสียงที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้น โดยมนุษย์อาจลอกเลียนเสียงมาจากธรรมชาติหรือเสียงอะไรก็ตาม แล้วนำเสียงนั้นมาเรียบเรียงให้มีระเบียบ และที่สำคัญที่สุด คือ ดนตรีต้องมีอารมณ์ในการที่จะสื่อไปยังผู้ฟัง
3. ดนตรีมีธรรมชาติที่แตกต่างไปจากศิลปะแขนงอื่น ๆ ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้
1. ดนตรีเป็นสื่อทางอารมณ์ที่สัมผัสได้ด้วยหู กล่าวคือ หูนับเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำให้คนเราสามารถสัมผัสกับดนตรีได้ ผู้ที่หูหนวกย่อมไม่สามารถทราบได้ว่าเสียงดนตรีนั้นเป็นอย่างไร
2. ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม กล่าวคือ กลุ่มชนต่าง ๆ จะมีวัฒนธรรมของตนเอง และวัฒนธรรมนี้เองที่ทำให้คนในกลุ่มชนนั้นมีความพอใจและซาบซึ้งในดนตรีลักษณะหนึ่งซึ่งอาจแตกต่างไปจากคนในอีกวัฒนธรรมหนึ่ง ตัวอย่างเช่น คนไทยเราซึ่งเคยชินกับดนตรีไทยและดนตรีสากล เมื่อไปฟังดนตรีพื้นเมืองของอินเดียก็อาจไม่รู้สึกซาบซึ้งแต่อย่างใด แม้จะมีคนอินเดียคอยบอกเราว่าดนตรีของเขาไพเราะเพราะพริ้งมากก็ตาม เป็นต้น
3. ดนตรีเป็นเรื่องของสุนทรียศาสตร์ว่าด้วยความไพเราะ ความไพเราะของดนตรีเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถซาบซึ้งได้และเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ กับทุกคน ทุกระดับ ทุกชนชั้น ตามประสบการณ์ของแต่ละบุคคล
4. ดนตรีเป็นเรื่องของการแสดงออกทางอารมณ์ เสียงดนตรีจะออกมาอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับเจ้าของอารมณ์ที่จะช่วยถ่ายทอดออกมาเป็นเสียง ดังนั้นเสียงของดนตรีอาจกล่าวได้ว่าอยู่ที่อารมณ์ของผู้ประพันธ์เพลงที่จะใส่อารมณ์ลงไปในเพลงตามทีตนต้องการ ผู้บรรเลงเพลงก็ถ่ายทอดอารมณ์จากบทประพันธ์ลงบนเครื่องดนตรี ผลที่กระทบต่อผู้ที่ฟังก็คือ เสียงดนตรีที่ประกอบขึ้นด้วยอารมณ์ของผู้ประพันธ์ผสมกับความสามารถของนักดนตรีที่จะถ่ายทอดได้ถึงอารมณ์หรอมีความไพเราะมากน้อยเพียงใด
5. ดนตรีเป็นทั้งระบบวิชาความรู้และศิลปะในขณะเดียวกัน กล่าวคือ ความรู้เกี่ยวกับดนตรีนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับเสียงและการจัดระบบเสียงให้เป็นท่วงทำนองและจังหวะ ซึ่งคนเราย่อมจะศึกษาเรียนรู้ “ความรู้ที่เกี่ยวกับดนตรี” นี้ก็ได้ โดยการท่อง จำ อ่าน ฟัง รวมทั้งการลอกเลียนจากคนอื่นหรือการคิดหาเหตุผลเอาเองได้ แต่ผู้ที่ได้เรียนรู้จะมี “ความรู้เกี่ยวกับดนตรี” ก็อาจไม่สามารถเข้าถึงความไพเราะหรือซาบซึ้งในดนตรีได้เสมอไป เพราะการเข้าถึงดนตรีเป็นเรื่องของศิลปะ เพียงแต่ผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับดนตรีนั้นจะสามารถเข้าถึงความไพเราะของดนตรีได้ง่ายขึ้น
ที่มา >>>> http://studentwork.srp.ac.th/Website/Art/music/nat02.htm
องค์ประกอบของดนตรี
จังหวะหรือลีลา (rhythm)
เสียง(tone)
ทำนองเพลง (melody)
การประสานเสียง(harmony)
ที่มา >>>> http://studentwork.srp.ac.th/Website/Art/music/part.htm
เสียง(tone)
ทำนองเพลง (melody)
การประสานเสียง(harmony)
ที่มา >>>> http://studentwork.srp.ac.th/Website/Art/music/part.htm
ประวัติความเป็นมาของดนตรี
การสืบสาวราวเรื่องเกี่ยวกับความเป็นมาของดนตรีตั้งแต่สมัยโบราณมา นับว่าเป็นเรื่องยากที่จะให้ได้ เรื่องราวที่ละเอียดโดยตลอดหรือแม้จะเพียงพอประติดประต่อ เช่นเดียวกับศิลปะด้านอื่นๆ เช่น สถาปัตยกรรม ประติมากรรม หรือจิตรกรรม และวรรณกรรม ก็ยังไม่อาจจะทำได้ เพราะดนตรีเป็นศิลปะของการใช้เสียง ถ้าหากไม่มีการจดบันทึกไว้เสียงเหล่านั้นย่อมสลายตัวสูญหายไปอย่างแน่นอน และ เนื่องจากการจดบันทึกทางดนตรีนับได้ว่าไม่เคยมีมาก่อน สมัยของการรู้จักใช้อักษรหรือสัญลักษณ์อื่นๆ เพิ่งจะมีปรากฏและเริ่มนิยมใช้กันในสมัยเริ่มต้นของยุค Middle age คือระหว่างศตวรรษที่ 5-6 และการบันทึกก็มีแต่เพียงเครื่องหมายแสดงเพียง "ระดับของเสียง" และ "จังหวะ" (Pitch and time)
ดนตรีเกิดขึ้นมาในโลกพร้อมๆ กับมนุษย์เรานั่นเอง ในยุคแรกๆ มนุษย์เรายังอาศัยอยู่ในป่าดง ในถ้ำ แม้ในโพรงไม้ก็รู้จักการร้องรำทำเพลงตามธรรมชาติ เช่นรู้จักการปรบมือ เคาะหิน เคาะไม้ เป่า ปาก เป่าเขา เป็นต้น พร้อมกันนั้นก็มีการเปล่งเสียงร้องออกมาตามเรื่อง การร้องรำทำเพลงของมนุษย์ ในยุคนั้นก็ทำไปเพื่ออ้อนวอนพระเจ้า เพื่อช่วยให้ตนพ้นภัย บันดาลความสุขความอุดมสมบูรณ์ต่างๆ ให้แก่ตน หรือเพื่อเป็นการบูชา แสดงความขอบคุณพระเจ้าที่บันดาลให้ตนมีความสุขความสบาย
โลกได้ผ่านมาหลายยุคหลายสมัย ดนตรีก็ได้วิวัฒนาการไปตามความเจริญ และความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ เครื่องดนตรีในสมัยเริ่มแรกที่เคยใช้ก็ได้วิวัฒนาการมาเป็นขั้นๆ กลายเป็นเครื่องดนตรี ที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ เพลงที่เคยร้องเพื่ออ้อนวอนพระเจ้า ก็กลายมาเป็นเพลงสวดทางศาสนาและ เพลงร้องโดยทั่วๆ ไปเป็นต้น
ในระยะแรกๆ นั้นดนตรีมีอยู่เพียงเสียงเดียวและแนวเดียวเท่านั้นเรียกว่า Melody ไม่มีการประสานเสียง เวลาผ่านไปหลายศตวรรษ จนถึงศตวรรษที่ 12 มนุษย์เราจึงเริ่มรู้จักใช้เสียงต่างๆ มาประสานกันอย่างง่ายๆ เกิดเป็นดนตรีหลายๆ เสียงขึ้นมา
ที่มา >>> http://studentwork.srp.ac.th/Website/Art/music/histo.htm
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)