วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

10 อันดับเพลงไทยที่มียอดวิวสูงสุดใน Youtube

อันดับที่ 10 : คำตอบสุดท้าย (Airborne)

10,478,264


อันดับที่ 9 : เธอทำให้ฉันเสียใจ (ค็อกเทล*)

10,952,826


อันดับที่ 8 : ยังไม่พ้นขีดอันตราย (บอย พีชเมกเกอร์)

11,125,138


อันดับที่ 7 : รักไม่ต้องการเวลา (หนูนา)

12,478,264


อันดับที่ 6 : เหตุผลที่ไม่อยากเป็นเพื่อนเธอ (so cool)

13,696,927


อันดับที่ 5 : พูดไม่คิด (season five feat.ฟักกลิ้ง ฮีโร่)

14,074,584


อันดับที่ 4 : คันหู (จ๊ะ เทอร์โบ)

15,194,806


อันดับที่ 3 : อยู่คนเดียว (เบิร์ด ธงไชย)

15,448,968


อันดับที่ 2 : กินตับ (เท่ง เถิดเทิง)

15,657,080


และอันดับที่ 1 คือ.....
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
อันดับที่ 1 : กรุณาฟังให้จบ (แช่ม แช่มรัมย์)

17,898,538



ที่มา >>> http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2276246

นักดนตรีที่มีชื่อเสียงมากว่า 30 ปี




ที่มา >>> http://www.youtube.com/watch?v=yCG777O7kq0

รู้จักประเภทของเครื่องดนตรีรึยังงงง ????

เครื่องดีด

กีตาร์

เบส

ฮาร์ป


เครื่องสี

ไวโอลา

ไวโอลิน

เชลโล

ดับเบิลเบส




เครื่องตี

กลองชุด

กลองฝรั่ง

ฉาบ

เบลไลรา

ไซโลโฟน (Xylophone)

ไลน์เบล (Line Bell)

ไทรแองเกิ้ล (Triangle)


เครื่องเป่าลมไม้

ฟลุต (Flute)

แซกโซโฟน (Saxophone)

โอโบ (Oboe)

คลาริเน็ต (Clarinet)

บาสซูน (Bassoon)

รีคอร์ดเดอร์ (Recorder)


เครื่องเป่าทองเหลือง

แตร

ทรอมโบน (Trombone)

ทรัมเป็ต (Trumpet)

ทูบา (Tuba)

ออโตฮอร์น (Autohorn)

เฟรนฮอร์น (French Horn)

ดับเบิ้ลเฟรนฮอร์น (Double French Horn)




ที่มา >>> http://studentwork.srp.ac.th/Website/Art/music/ded.htm




ธรรมชาติของดนตรี

ผู้รู้ทางด้านดนตรีหลายท่านได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติของดนตรีไว้หลายรูปแบบด้วยกัน
ในที่นี้จะนำมากล่าวไว้โดยสังเขปดังนี้
1. ดนตรีเกิดจากการแสดงออกทางอารมณ์ของมนุษย์ เช่น เมื่อเกิดความพอใจสนุกสนาน ก็เปล่งเสียงออกมา หรือปรบมือกระทืบเท้าบ้าง ใช้ไม้เคาะสิ่งต่างๆ บ้าง นาน ๆ เข้าก็หาวิธีการที่จะทำให้เกิดเสียงแปลก ๆ โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ
เข้าช่วย จนกลายเป็นเสียงดนตรีไปในที่สุด เสียงดนตรียุคแรก ๆ จึงเป็นการเลียนเสียงธรรมชาติที่มีไม่กี่เสียง จังหวะก็ง่าย ๆ แล้วจึงได้รับการพัฒนามาเป็นลำดับ มนุษย์แต่ละเผ่าต่างก็มีดนตรีของตนเองเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
2. ดนตรีเป็นเรื่องของศิลปะที่เกี่ยวกับเสียงที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้น โดยมนุษย์อาจลอกเลียนเสียงมาจากธรรมชาติหรือเสียงอะไรก็ตาม แล้วนำเสียงนั้นมาเรียบเรียงให้มีระเบียบ และที่สำคัญที่สุด คือ ดนตรีต้องมีอารมณ์ในการที่จะสื่อไปยังผู้ฟัง

3. ดนตรีมีธรรมชาติที่แตกต่างไปจากศิลปะแขนงอื่น ๆ ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้
1. ดนตรีเป็นสื่อทางอารมณ์ที่สัมผัสได้ด้วยหู กล่าวคือ หูนับเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำให้คนเราสามารถสัมผัสกับดนตรีได้ ผู้ที่หูหนวกย่อมไม่สามารถทราบได้ว่าเสียงดนตรีนั้นเป็นอย่างไร
2. ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม กล่าวคือ กลุ่มชนต่าง ๆ จะมีวัฒนธรรมของตนเอง และวัฒนธรรมนี้เองที่ทำให้คนในกลุ่มชนนั้นมีความพอใจและซาบซึ้งในดนตรีลักษณะหนึ่งซึ่งอาจแตกต่างไปจากคนในอีกวัฒนธรรมหนึ่ง ตัวอย่างเช่น คนไทยเราซึ่งเคยชินกับดนตรีไทยและดนตรีสากล เมื่อไปฟังดนตรีพื้นเมืองของอินเดียก็อาจไม่รู้สึกซาบซึ้งแต่อย่างใด แม้จะมีคนอินเดียคอยบอกเราว่าดนตรีของเขาไพเราะเพราะพริ้งมากก็ตาม เป็นต้น
3. ดนตรีเป็นเรื่องของสุนทรียศาสตร์ว่าด้วยความไพเราะ ความไพเราะของดนตรีเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถซาบซึ้งได้และเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ กับทุกคน ทุกระดับ ทุกชนชั้น ตามประสบการณ์ของแต่ละบุคคล
4. ดนตรีเป็นเรื่องของการแสดงออกทางอารมณ์ เสียงดนตรีจะออกมาอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับเจ้าของอารมณ์ที่จะช่วยถ่ายทอดออกมาเป็นเสียง ดังนั้นเสียงของดนตรีอาจกล่าวได้ว่าอยู่ที่อารมณ์ของผู้ประพันธ์เพลงที่จะใส่อารมณ์ลงไปในเพลงตามทีตนต้องการ ผู้บรรเลงเพลงก็ถ่ายทอดอารมณ์จากบทประพันธ์ลงบนเครื่องดนตรี ผลที่กระทบต่อผู้ที่ฟังก็คือ เสียงดนตรีที่ประกอบขึ้นด้วยอารมณ์ของผู้ประพันธ์ผสมกับความสามารถของนักดนตรีที่จะถ่ายทอดได้ถึงอารมณ์หรอมีความไพเราะมากน้อยเพียงใด
5. ดนตรีเป็นทั้งระบบวิชาความรู้และศิลปะในขณะเดียวกัน กล่าวคือ ความรู้เกี่ยวกับดนตรีนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับเสียงและการจัดระบบเสียงให้เป็นท่วงทำนองและจังหวะ ซึ่งคนเราย่อมจะศึกษาเรียนรู้ “ความรู้ที่เกี่ยวกับดนตรี” นี้ก็ได้ โดยการท่อง จำ อ่าน ฟัง รวมทั้งการลอกเลียนจากคนอื่นหรือการคิดหาเหตุผลเอาเองได้ แต่ผู้ที่ได้เรียนรู้จะมี “ความรู้เกี่ยวกับดนตรี” ก็อาจไม่สามารถเข้าถึงความไพเราะหรือซาบซึ้งในดนตรีได้เสมอไป เพราะการเข้าถึงดนตรีเป็นเรื่องของศิลปะ เพียงแต่ผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับดนตรีนั้นจะสามารถเข้าถึงความไพเราะของดนตรีได้ง่ายขึ้น



ที่มา >>>> http://studentwork.srp.ac.th/Website/Art/music/nat02.htm

องค์ประกอบของดนตรี

จังหวะหรือลีลา (rhythm)

เสียง(tone)

ทำนองเพลง (melody)

การประสานเสียง(harmony)


ที่มา >>>> http://studentwork.srp.ac.th/Website/Art/music/part.htm

ประวัติความเป็นมาของดนตรี


การสืบสาวราวเรื่องเกี่ยวกับความเป็นมาของดนตรีตั้งแต่สมัยโบราณมา นับว่าเป็นเรื่องยากที่จะให้ได้ เรื่องราวที่ละเอียดโดยตลอดหรือแม้จะเพียงพอประติดประต่อ เช่นเดียวกับศิลปะด้านอื่นๆ เช่น สถาปัตยกรรม ประติมากรรม หรือจิตรกรรม และวรรณกรรม ก็ยังไม่อาจจะทำได้ เพราะดนตรีเป็นศิลปะของการใช้เสียง ถ้าหากไม่มีการจดบันทึกไว้เสียงเหล่านั้นย่อมสลายตัวสูญหายไปอย่างแน่นอน และ เนื่องจากการจดบันทึกทางดนตรีนับได้ว่าไม่เคยมีมาก่อน สมัยของการรู้จักใช้อักษรหรือสัญลักษณ์อื่นๆ เพิ่งจะมีปรากฏและเริ่มนิยมใช้กันในสมัยเริ่มต้นของยุค Middle age คือระหว่างศตวรรษที่ 5-6 และการบันทึกก็มีแต่เพียงเครื่องหมายแสดงเพียง "ระดับของเสียง" และ "จังหวะ" (Pitch and time)

ดนตรีเกิดขึ้นมาในโลกพร้อมๆ กับมนุษย์เรานั่นเอง ในยุคแรกๆ มนุษย์เรายังอาศัยอยู่ในป่าดง ในถ้ำ แม้ในโพรงไม้ก็รู้จักการร้องรำทำเพลงตามธรรมชาติ เช่นรู้จักการปรบมือ เคาะหิน เคาะไม้ เป่า ปาก เป่าเขา เป็นต้น พร้อมกันนั้นก็มีการเปล่งเสียงร้องออกมาตามเรื่อง การร้องรำทำเพลงของมนุษย์ ในยุคนั้นก็ทำไปเพื่ออ้อนวอนพระเจ้า เพื่อช่วยให้ตนพ้นภัย บันดาลความสุขความอุดมสมบูรณ์ต่างๆ ให้แก่ตน หรือเพื่อเป็นการบูชา แสดงความขอบคุณพระเจ้าที่บันดาลให้ตนมีความสุขความสบาย

โลกได้ผ่านมาหลายยุคหลายสมัย ดนตรีก็ได้วิวัฒนาการไปตามความเจริญ และความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ เครื่องดนตรีในสมัยเริ่มแรกที่เคยใช้ก็ได้วิวัฒนาการมาเป็นขั้นๆ กลายเป็นเครื่องดนตรี ที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ เพลงที่เคยร้องเพื่ออ้อนวอนพระเจ้า ก็กลายมาเป็นเพลงสวดทางศาสนาและ เพลงร้องโดยทั่วๆ ไปเป็นต้น

ในระยะแรกๆ นั้นดนตรีมีอยู่เพียงเสียงเดียวและแนวเดียวเท่านั้นเรียกว่า Melody ไม่มีการประสานเสียง เวลาผ่านไปหลายศตวรรษ จนถึงศตวรรษที่ 12 มนุษย์เราจึงเริ่มรู้จักใช้เสียงต่างๆ มาประสานกันอย่างง่ายๆ เกิดเป็นดนตรีหลายๆ เสียงขึ้นมา



ที่มา >>> http://studentwork.srp.ac.th/Website/Art/music/histo.htm

Rock กันบ้าง+






ที่มา >>> http://www.youtube.com/watch?v=y3DwEOw3cnw&feature=g-vrec

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

มารู้จัก "เครื่องดนตรีไทย" กันบ้าง

เครื่องสี

ซอด้วง
ซออู้
ซอสามสาย
สะล้อ

เครื่องดีด

กระจับปี่
จะเข้
ซึง
พิณ
พิณเพียะ

เครื่องตี

ขิม

เครื่องตีไม้

กรับพวง
กรับเสภา
โกร่ง
ระนาด
ระนาดทุ้ม
ระนาดทุ้มเหล็ก
ระนาดเอก
ระนาดเอกเหล็ก
โปงลาง
อังกะลุง

เครื่องตีโลหะ

กลองมโหระทึก
ฆ้องกระแต
ฆ้องคู่
ฆ้องมอญวงใหญ่, ฆ้องมอญวงเล็ก
ฆ้องมโหรีวงใหญ่, ฆ้องมโหรีวงเล็ก
ฆ้องระเบ็ง
ฆ้องราง
ฆ้องวงใหญ่, * ฆ้องวงเล็ก
ฆ้อง
ฆ้องหุ่ย
ฆ้องเหม่ง
ฆ้องโหม่ง
ฉิ่ง
ฉาบใหญ่
ฉาบเล็ก
ฉิ่ง
โหม่ง

เครื่องตีหนัง

กลองแขก
กลองชนะ
กลองชาตรี
กลองทัด
กลองมลายู
กลองมอญ
กลองยาว
กลองสองหน้า
ตะโพน
โทน
บัณเฑาะว์
เปิงมาง
รำมะนา
ไหซอง

เครื่องเป่า

ขลุ่ยกรวด
ขลุ่ยเพียงออ
ขลุ่ยอู้
ขลุ่ยหลิบ
แคน
แตรงอน
ปี่
ปี่กลาง
ปี่นอก
ปี่ใน
ปี่ชวา
ปี่ไฉน
ปี่มอญ
โหวด




ที่มา >>> http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5

เพลงที่ฟังแล้วรู้สึก ชิล ล ล ไปตามๆกัน ...




ที่มา >>> http://www.youtube.com/watch?v=pY3P5tJOZHM&feature=g-vrec

มารู้จัก "เครื่องดนตรีสากล" กันดีกว่า !!!

เครื่องสาย (String Instruments)

กีตาร์
เบส
ไวโอลิน (Violi
วิโอลา (Viola)
เชลโล (Cello)
ดับเบิลเบส (Double Bass)
ฮาร์ป (Harp)
แบนโจ (Banjo)
แมนโดลิน (Mandolin)
ลูท (Lute)

เครื่องกระทบ (Percussion Instruments)

กลองชุด (Drum Set)
กลองทิมปานี (Timpani)
กลองใหญ่
กลองเล็ก
กลองบองโก
กลองคองก้า
กลองทอมบา
แทมบูริน
ฉาบ (Cymbal)
เบลไลรา
ไซโลโฟน (Xylophone)
ไวบราโฟน (Vibraphone)
ไลน์เบล (Line Bell)
ไทรแองเกิล (Triangle)
คาสทาเนทหรือกรับสเปน (Castanet)
มาราคัส (Maracas)
คาบาซา (Cabaza)
มาริมบา (Marimba)
คาวเบลส์
ระฆังราว (Tubular Bells)

นุชเลิบอาลิป
เครื่องประเภทลิ่มนิ้ว(Keyboard Instruments)

ออร์แกน (Organ)
เมโลเดียน (Melodian)
เปียโน (Piano)
แอคคอร์เดียน (Accordion)
ฮาร์ปซิคอร์ด (Harpsichord)
อิเลคโทน (Electone)
คลาวิคอร์ด (Clavichord)

เครื่องเป่าลมไม้ (Woodwind Instruments)

ฟลูต (Flute)
แซกโซโฟน (Saxophone)
โอโบ (Oboe)
คลาริเน็ต (Clarinet)
บาสซูน (Bassoon)
รีคอร์เดอร์ (Recorder)
ปิคโคโล (Piccolo)
คอร์ แองเกลส์ (Cor Anglais or English horn)

เครื่องเป่าทองเหลือง (Brass Instruments)

ทรอมโบน (Trombone)
ทรัมเป็ต (Trumpet)
ทูบา (Tuba)
ฟลูเกลฮอร์น (Flugelhorn)
เฟรนฮอร์น (French Horn)
คอร์เน็ท (Cornet)
ซูซาโฟน (Sousaphone)
ยูโฟเนียม (Euphonium)
แฟนแฟร์ (Fanfare)



ที่มา >>> http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

“ทายใจนิสัยจากแนวเพลงที่ชอบ”

พูดถึงเรื่องปาร์ตี้ก็ต้องขาดเสียงเพลงไม่ได้แน่นอน แต่ขอบอกว่าแต่ละเพลงก็มีความหมายนะจะบอกให้ เพราะสังเกตได้เลยว่าใครชอบเพลงแนวไหน..ก็จะชอบแนวเพลงแบบนั้นไปตลอด แจนจี้เลยขอ “ทายใจนิสัยจากแนวเพลงที่ชอบ”


Rock : “เป็นตัวของตัวเอง”....นิยามสั้นๆที่บอกความเป็นคุณได้ลงตัวที่สุด เพราะคุณไม่ค่อยเห่ออะไรตามกระแส แต่ถ้าคุณจะใช้อะไร..มันก็เพราะว่ามันเหมาะกับคุณ และต่อให้มันไม่อินแล้ว แต่คุณก็หาได้แคร์ไม่...แถมยังใส่ต่อได้อย่างมั่นใจ แต่คุณมักไม่ค่อยแฮปปี้เรื่องความรักเท่าไหร่ สงสัยก็เพราะ “เป็นตัวของตัวเอง” มากไปนี่แหละ

Hiphop : เรื่องปาร์ตี้น่ะเรื่องหย่ายยยย.. ต่อให้วันนั้นเจองานมาหนักหนาแค่ไหน คุณก็ยังสามารถแบ่งพลังงานเพื่อไปปาร์ตี้กับเพื่อนๆได้อีกกก เพราะคุณถือคติ Work hard, Play harder จะให้ทำงานเสร็จแล้วดิ่งตรงกลับบ้านชีวิตก็เฉาตายเลยอ่าดิ๊...ส่วนเรื่องความรักของคุณเหมือนรถไฟเหาะตีลังกา มาแบบพายุแถมวันนี้ดี พรุ่งนี้งอน ชีวิตเต็มไปด้วยสีสันจริงๆนะเนี่ยยย

Pop:  สนุกสนานร่าเริง...ใครเป็นแฟนคุณคงเหนื่อยหน่อยเพราะคุณเปลี่ยนใจได้บ่อยเหลือเกิน นาทีอยากกินเค้ก อีกนาทีถัดไปอาจจะอยากกินพิซซ่า เรียกว่าต้องอัพเดทกันนาทีต่อนาทีเลยทีเดียว แต่เวลาน่ารัก คุณก็จุ๊กจิ๊กจนใครๆก็ต้องตกหลุมรักเสน่ห์ของคุณทั้งนั้น ก็น่ารักขนาดนี้ ใครๆก็ต่อแถวมาขอดูแลหัวใจคุณกันเพียบ น่าอิจฉาจริงๆเลย

Jazz : คิดเยอะ...แต่พูดน้อย คุณใช้เวลากับความคิดของตัวเองมากกว่า และเพื่อนๆส่วนใหญ่ก็ชอบซะด้วยสิ เพราะคุณเป็นผู้รับฟังที่ดีมากๆ ส่วนกิจกรรมที่คุณชื่นชอบ ค่อนข้างจะต่างกับบุคลิกของคุณมากๆ เพราะคุณชอบแนว adventure ลุยๆ หรือหวาดเสียวแบบบันจี้จั๊มพ์ ไปเลย เพราะช่วยให้สมองคุณโล่ง แบบพักผ่อนไม่ต้องคิดอะไร คุณมักมีแฟนที่เติมเต็มคุณได้ดี เพราะมีแฟนที่สนุกสนานพูดเยอะ ส่วนคุณก็พูดน้อย งานนี้ต้องบอกว่าลงตัวมากๆ

Bossa : ช่างคิด...ช่างอ่อนไหว ใครๆก็บอกคุณมีหัวด้านศิลปะ โดยเฉพาะเทรนด์เรื่องแต่งตัวของคุณทั้งเจ๋งทั้งดูมีเอกลักษณ์ ทักษะเรื่องการมิกซ์แอนด์แมทช์เป็นเลิศ และขอบอกว่ามันท้าทายคุณมากกว่าถ้าจะไปคุ้ยหาเสื้อดีๆจากร้านมือ2 หรือแถวๆวังหลังในราคาสุดถูก...แต่เอามาแต่งนิดเพิ่มหน่อยแล้วกลายเป็นของเก๋ ส่วนเรื่องความรักค่อนข้างจะเรื่อยๆไม่หวือหวาเหมือนจังหวะของเพลงน่านแหละ

R&B : มั่นใจในตัวเองสูงมาก..... คุณเป็นคนมีความตั้งใจสูง ฝันอะไรก็พยายามเพื่อจะไปให้ถึง แต่เพราะต้องทุ่มเทจริงจังเลยทำให้เป็นคนมีเพื่อนน้อย เพราะไม่มีเวลาไปฮิฮะหนุกหนานกับเพื่อนๆซักเท่าไหร่ แต่จริงๆคุณก็ไม่ค่อยได้ทุกข์ร้อนหรอกนะที่มีเพื่อนน้อย น้อยๆแต่มีคุณภาพรู้ใจไปทุกอย่าง...น่านแหละคุณเลยล่ะ เรื่องความรักค่อนข้างซับซ้อนแล้วก็ซุกซ่อนพอสมควรเลยล่ะ

ประเภทของแนวเพลง ~~~~

คลาสสิก, กอสเปล, แจ๊ส, ลาติน, บลูส์, โซล, รึทึมแอนด์บลูส์, พังก์,
ดิสโก้, ร็อก, เมทัล, ป็อป, โฟล์ก, คันท,รี อิเล็กทรอนิกส์ (ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์),
สกา, เร้กเก้, ฮิปฮอป (แร็ป), เวิลด์มิวสิก, เพลงลูกกรุง, เพลงลูกทุ่ง, เพลงเพื่อชีวิต +++


ที่มา >>> http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%87

ฟังเพลงแบบ HIPๆ กันบ้าง ถ่ายมิวสิควิดีโอที่มอเราเอง :]




ที่มา >> http://www.youtube.com/watch?v=g9dhZTPDQK0

มาฟัง เพื่อชีวิต กันบ้าง ^^"




ที่มา >>> http://www.youtube.com/watch?v=9UWFCFhYDE4

เคล็ดลับในการร้องเพลง

การร้องเพลงให้เพราะ ข้อสำคัญจะต้องมีอารมณ์สอดแทรกความรู้สึกให้ได้กับเนื้อหาของเพลง มีใจรัก ปล่อยใจ ปล่อยอารมณ์ ให้ตัวเบา

การออกเสียงจะต้องสบาย ๆ ถ่ายทอดความรู้สึก เราควรสอดแทรกและสื่อความหมายของเพลงให้แก่ผู้ฟัง ถ้าเราปล่อยความรู้สึกของเราตามความหมายของเสียงเพลง ผู้ฟังจะเข้าใจ เช่น เพลงเศร้า จะต้องให้เศร้า เสียใจ นั่นแหละจึงจะประสบความสำเร็จ ถ้าร้องไปโดยไม่คำนึงถึงความหมาย เราก็จะไม่สามารถเข้าถึงหัวใจเขาได้

นอกจากนี้เราต้องรักษาระดับเสียงสูงต่ำขึ้นลงให้ได้อีกด้วย ก่อนอื่น เราต้องฝึกเสียงให้ผ่านจากลำคอไปถึงท้อง ต้องร้องแบบเปิดลำคอ จุดนี้ต้องให้ความรู้สึกโล่งที่สุด เหมือนกับโทรโข่งที่รับเสียงแล้วก้อง ไม่มีสิ่งใดมากีดขวาง ร้องเพลงอย่างมีความสุข สบาย ๆ ไม่ใช่ว่ารู้สึกเหนื่อยเวลาขึ้นเสียงสูง เพราะคนฟังก็จะรู้สึกอย่างนั้นไปด้วย

ทักษะในการร้องเพลงต้องสูดหายใจลึก ๆ การออกเสียงเสมือนกับการดื่มน้ำหรือการรับประทานอาหาร ซึ่งต้องผ่านลำคอลงไปโดยไม่ติดคอ จึงจะเป็นการร้องเพลงที่ถูกต้อง

การออกเสียงเหมือนการทวนกระแส เสียงสูงเราต้องทิ้งเสียงให้ลงไปข้างล่าง เช่น การตะโกนเรียงคนที่อยู่ไกล ๆ หรือตะโกนข้ามภูเขาของชาวเขา เป็นต้น

ส่วนเสียงต่ำจะเป็นการเก็งและตะเบ็งออกให้ขึ้นที่สูง แต่จะต้องมีพลังและก้องกังวาลแบบเสียงระฆัง ดังนั้นเสียงสูงจึงเปรียบได้กับเสียงระฆัง และเสียงต่ำเปรียบเหมือนเสียงกลอง

การร้องเพลงเป็นการฝึกการพูดของเราเหมือนกัน บางคนพูดแล้วจะรู้สึกเหนื่อย ผู้ที่มีปัญหาเรื่องหลอดลมหรือปอด หายใจไม่ทัน ถ้าได้ฝึกร้องเพลงแล้วฝึกให้ถูกต้อง จะเป็นการช่วยให้สุขภาพดีขึ้น เป็นการฝึกการบริหาร แต่ต้องฝึกให้ถูกวิธี จึงต้องออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วย ลักษณะของการออกกำลังกายจะมีการหายใจเข้าและหายใจออกเหมือนกับการร้องเพลง ดังนั้นผู้ที่ร้องเพลงได้ดีส่วนมากจึงออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย ผลพลอยได้คือ สุขภาพร่างกายแข็งแรง ชะลอความแก่ได้ ดังสุภาษิต ที่ว่า "ยิงปืนนัดเดียวได้ นกสองตัว" เพราะร้องเพลงได้ดีขึ้น และสุขภาพยังแข็งแรงขึ้นอีกด้วย



ที่มา >>> http://www.jobpub.com/articles/showarticle.asp?id=593

เทคนิคการร้องเพลงง่ายๆ สำหรับทุกคน,,,

ครูกบ-เสาวนิตย์ แนะเคล็ดลับการร้องเพลง (Voice Tips)


เคล็ดลับที่ 1: เคล็ดลับการดูแลเส้นเสียงให้แข็งแรง !!!

ต้องฝึกการใช้เส้นเสียงที่เหมาะสมกับปริมาณลมอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับการออกกำลังกายทีละนิด ทีละหน่อย จนกว่าร่างกายคุ้นเคย

ฝึกวิธีการใช้เสียงตั้งแต่ตอนพูด ใช้ความกังวานของเสียงช่วยเพิ่มความดังแทนการตะโกน ตะเบ็ง / ไม่พูดเสียงสูง-ต่ำเกินความเป็นจริงของธรรมชาติเสียงตัวเอง (ระดับเสียงที่พูดแล้วสบาย คือธรรมชาติ) หรือไม่พูดเสียงที่เป็นลมจนเกินไป

ออกกำลังกาย (กีฬาทุกประเภทใช้ได้ทั้งหมด ขอให้มีการเคลื่อนไหวของร่างกาย) เพื่อช่วยเพิ่มพลังและผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้ร่างกายโดยรวม และเพื่อช่วยความแข็งแรงให้ระบบหายใจ

นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ (สังเกตตัวเองด้วยว่าต้องการกี่ชั่วโมงเพราะร่างกายแต่ละคนต้องการแตกต่างกัน)

ทานอาหารให้ครบหมู่ / ดื่มน้ำให้เพียงพอ หรือเกินต่อความต้องการของร่างกายเสมอ

หลีกเลี่ยงคาเฟอีน แอลกออล์ทั้งหลาย / หากเกิดอาการดื่มน้ำน้อยไป หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน-แอลกออล์มากเกินไป เส้นเสียงก็จะพลอยแห้ง อ่อนแอไปด้วย / ดื่มน้ำอุณหภูมิห้องจะดีที่สุด / การดื่มน้ำเย็นไม่ได้มีผลต่อการใช้เสียงมากจนเกินควร หากไม่ป่วยหรือ มีน้ำมูก / แต่น้ำอุ่น-ร้อนเกิน จะทำให้คอรู้สึกแห้งผาก ไม่ดี โดยเฉพาะก่อนใช้เสียง

ไม่เสพสารเสพติด เช่นบุหรี่ สารนิโคตินในบุหรี่จะทำให้เส้นเสียงอ่อนแอ เวลาใช้งาน จะเหนื่อย ต้องออกแรงมากกว่าปรกติ

หลีกเลี่ยงสภาวะอากาศที่ทำให้เรารู้สึกไม่สบายคอ หรือหายใจลำบาก เช่น มีความชื้นมากเกินไป ฝุ่นมากไป

เคล็ดลับที่ 2: เคล็ดลับการควบคุมปริมาณลมที่พอดีกับการใช้เส้นเสียง !!!

วิธีที่ทำให้สามารถสัมผัสได้ มากกว่าการได้ยินเสียงคือ ใช้นิ้ว หรือ ฝ่ามือ มารองเสียงที่เราเปล่งออกมาจากปาก พยามยามอย่าให้มีลมปนออกมากับเสียงมาก เพราะ หากเสียงร้องมีลมออกมากพร้อมกัน แสดงว่าเส้นเสียงไม่ปิดเข้าหากัน หรือมีการใช้ลมมากเกินไป (คือปริมาณลมไม่พอดีกับการปิดของเส้นเสียง ทำใช้เส้นเสียงได้ไม่เต็มที่ เกิดข้อจำกัดในการใช้เสียง โดยเฉพาะการร้องเพลง)

เคล็ดลับที่ 3: เลือกครูสอนใช้เสียง-ร้องเพลงอย่างไร ???

ดูความต้องการของตนเองก่อนว่าอยากจะรู้เรื่องอะไร ต้องการความช่วยเหลือด้านไหน

ดูว่าครูมีความรู้ และประสบการณ์ในการสอนเรื่องเหล่านั้นจริงหรือไม่

ดูเนื้อหาการสอน และวิธีการสอนของครูที่สอนอยู่ ว่าตอบโจทก์ที่เราต้องการไหม เป็นวิธีที่เราสามารถเรียนได้หรือไม่

หากไม่เคยมีประสบการณ์การเรียนใช้เสียง-ร้องเพลงมาก่อน ผู้เรียนควรจะได้คุยถึงวิธีทางการสอนของครู และเนื้อหาที่ตนเองอยากเรียนกับครูผู้สอนโดยตรงก่อนเริ่มเรียน

--------------------------------------------
ที่มา >>> http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=plagao&month=10-2007&date=02&group=1&gblog=7

ตัวจิ๋ว ที่เล่นดนตรีได้เก่งและน่ารักมากๆ




ที่มา >>> http://www.youtube.com/watch?v=_n2lJPe22-8&feature=related

การเลือกอูคูเลเล่ ~~



ที่มา >> http://www.youtube.com/watch?v=IbYEBwwAioE&feature=my_liked_videos&list=LLD2Y9YFUgeDnympqPs2SnLw

มารยาทในการฟังเพลง

มารยาทในการฟังเพลงที่กล่าวถึงในที่นี้ จะเน้นมารยาทในการฟังดนตรี หรือฟังเพลงที่เป็นการบรรเลงสด ที่มีผู้ฟังมารวมกลุ่มกัน การฟังเพลงที่มีผู้ฟังเป็นจำนวนมากนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีมารยาทในการฟัง และสำรวมกิริยาอากรต่าง ๆ ให้เหมาะสม

มารยาทในการฟังเพลงมี ดังนี้

1. ไปถึงที่ ที่จัดการแสดงก่อนเริ่มแสดงประมาณ 10 - 20 นาที เพราะถ้าไปถึงที่ที่จัดการแสดงช้า จะไม่สะดวกต่อการเดินเข้าไปหาที่นั่ง และเป็นการสร้างความรำคาญให้แก่ผู้อื่น

2. ไม่นำอาหารประเภทขบเคี้ยวที่มีเสียงดังและมีกลิ่นรุน แรงเข้าไปรับประทาน

3. ไม่พูดหรือคุยกัน หรือวิพากษ์วิจารณ์ จน เกิดเสียงรบกวนสมาธิ ในการฟังเพลงของผู้อื่น

4. ไม่แสดงกิริยาอาการที่ไม่เหมาะสม เช่น โห่ร้อง ปาสิ่งของไปยังผู้แสดง หรือผู้ฟังเพลงด้วยกัน ในกรณีที่พอใจ ควรปรบมือในโอกาสที่เหมาะสม

5. แต่งกายสุภาพ เหมาะสม กับการไปฟังเพลงแต่ละประเภท



ที่มา >>> http://www.sopon.ac.th/sopon/art/asa1/sec03p01.html

มาแรงอีกแล้ว KARAMAIL




ที่มา >>> http://www.youtube.com/watch?v=pnq6-2DbqEA

ดนตรีกับการฟัง

ดนตรีเป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มาพร้อม ๆ กับชีวิตมนุษย์โดยที่มนุษย์เองไม่รู้ตัว ดนตรีเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์อย่างหนึ่งที่ช่วยให้มนุษย์มีความสุข สนุกสนานรื่นเริง ช่วยผ่อนคลายความเครียดทั้งทางตรงและทางอ้อม

ดนตรีเป็นเครื่องกล่อมเกลาจิตใจของมนุษย์ให้มีความเบิกบานหรรษาให้เกิดความสงบและพักผ่อนกล่าวคือในการดำรงชีพของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายดนตรีมีความเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาจสืบเนื่องมาจากความบันเทิงในรูปแบบต่าง ๆ โดยตรงหรืออาจเกิดจากขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ เช่น เพลงกล่อมเด็ก เพลงประกอบในการทำงาน เพลงที่เกี่ยวข้องในงานพิธีการ เพลงสวดถึงพระผู้เป็นเจ้า เป็นต้น

ดนตรีเป็นศิลปะที่อาศัยเสียงเพื่อเป็นสื่อในการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ไปสู่ผู้ฟัง เป็นศิลปะที่ง่ายต่อการสัมผัส ก่อให้เกิดความสุข ความปลื้มปิติพึงพอใจให้แก่มนุษย์ได้ นอกจากนี้ได้มีนักปราชญ์ท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า “ดนตรีเป็นภาษาสากลของมนุษยชาติเกิดขึ้นจากธรรมชาติและมนุษย์ได้นำมาดัดแปลงแก้ไขให้ประณีตงดงามไพเราะเมื่อฟังดนตรีแล้วทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ” นั้นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราได้ทราบว่ามนุษย์ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดภาษาใดก็สามารถรับรู้อรรถรสของดนตรีได้โดยใช้เสียงเป็นสื่อได้ เหมือนกันมีบุคคลจำนวนไม่น้อยที่ตั้งคำถามว่า “ดนตรีคืออะไร” แล้ว “ทำไมต้องมีดนตรี”

คำว่า “ดนตรี” ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายไว้ว่าเสียงที่ประกอบกันเป็นทำนองเพลง, เครื่องบรรเลงซึ่งมีเสียงดังทำให้รู้สึกเพลิดเพลิน หรือเกิดอารมณ์รัก โศกหรือรื่นเริง” จากความหมายข้างต้นจึงทำให้เราได้ทราบคำตอบที่ว่าทำไมต้องมีดนตรี ก็เพราะว่าดนตรีช่วยทำให้มนุษย์เรารู้สึกเพลิดเพลินได้

คำว่า “ดนตรี” มีความหมายที่กว้างและหลากหลายมากนอกจากนี้ยังมีการนำดนตรีไปใช้ประกอบในกิจกรรมต่าง ๆ ที่เราคุ้นเคย เช่น การใช้ประกอบในภาพยนต์ เนื่องจากดนตรีนั้นสามารถนำไปเป็นพื้นฐานในการสร้างอารมณ์ลักษณะต่าง ๆ ของแต่ละฉากได้ พิธีกรรมทางศาสนาก็มีการนำดนตรีเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยจึงทำให้มีความขลัง ความน่าเชื่อถือ ความศรัทธา มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ดนตรีบางประเภทถูกนำไปใช้ในการเผยแพร่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกลุ่มคนหรือเชื้อชาติ บางครั้งมนุษย์เราใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือในการแยกประเภทของมนุษย์ออกเป็นกลุ่ม ๆ เช่น วัยรุ่นในเมืองก็จะชอบฟังเพลงที่มีจังหวะหรือทำนองสนุก ๆ ครื้นเครง ความรักหวานซึ้ง ส่วนวัยรุ่นที่อยู่ในชนบทก็มักจะชอบฟังประเภทเพลงเพื่อชีวิต เพลงลูกทุ่ง วัยหนุ่มสาวก็ชอบเพลงทำนองอ่อนหวานที่เกี่ยวกับความรัก สำหรับผู้ใหญ่ก็มักจะชอบฟังเพลงที่มีจังหวะหรือทำนองที่ฟังสบาย ๆ และชอบฟังเพลงที่คุ้นเคย

มนุษย์เราใช้ดนตรีเป็นเครื่องกระตุ้นในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การขับรถ การเรียน การวิ่งเหยาะ ๆ ออกกำลังกาย เป็นต้น ที่กล่าวมาข้างต้นการใช้ดนตรีเหล่านี้มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือใช้ดนตรีเป็นส่วนประกอบในการทำร่วมกับกิจกรรมนั้น ๆ ส่วนจุดมุ่งหมายอื่น ๆ เป็นเรื่องรองลงมา
ก่อนที่จะมาเป็นดนตรีให้เราได้ยินได้ฟังกันจนกระทั่งปัจจุบันนี้มนุษย์ได้คิด ได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาแล้วไม่น้อยกว่าพันปีดังนั้นดนตรีจึงถือได้เป็นสิ่งที่มีมาคู่กับมนุษย์เลยก็ว่าได้ สำหรับองค์ประกอบของดนตรีจะประกอบด้วยอะไรบ้างนั้นในบทนี้จะไม่กล่าวถึงมากแต่จะขอกล่าวถึงในบทต่อ ๆ ไป

มีดนตรีชนิดหนึ่งซึ่งแตกต่างจากที่ได้กล่าวมาแล้วซึ่งต้องใช้สติปัญญา สมาธิ ความตั้งใจในการฟัง ดนตรีชนิดนี้เรียกว่า “ดนตรีคลาสสิก” (Classical Music) ส่วนใหญ่มนุษย์ฟังดนตรีประเภทนี้ ฟังเพราะความพอใจและความรู้สึกสนุกสนานในการฟังไม่มีเหตุผลหรือจุดมุ่งหมายใด มนุษย์จำนวนมากไม่เข้าใจว่าดนตรีสำคัญอย่างไร ดนตรีจะมีค่าได้อย่างไรในเมื่อเราไม่สามารถใช้มันเพื่อทำอะไรได้เลย โดยทั่วไปแล้วมนุษย์เราเข้าใจว่าของส่วนใหญ่สำคัญเพราะเราจำเป็นต้องใช้มัน แต่สำหรับดนตรีและงานศิลป์อื่น ๆ เช่น ภาพเขียน รูปปั้น ประติมากรรม บทกวี
วรรณคดี ฯลฯ มีเพียงกลุ่มคนที่สนใจจริง ๆ เท่านั้นที่จะเข้าใจและซาบซึ้ง เพราะความสำคัญของมันเป็นไปในแง่จิตวิทยา (Psychological) ไม่ใช่ในแง่ของการปฏิบัติ (functional)

เพราะเหตุใดมนุษย์เราจึงต้องสร้างสิ่งดังกล่าวขึ้นมาซึ่งสิ่งเหล่านั้นการประเมินค่านั้นจำเป็นต้องใช้สติปัญญาและความพอใจของคนคนนั้นจึงจะรู้คุณค่า นอกจากนี้ไม่มีใครรู้แน่นอนว่าความพอใจมีมาตรฐานของการวัดอย่างไร ถึงแม้ว่าจะมีทฤษฎีที่น่าสนใจมากมายสำหรับศึกษาเปรียบเทียบ อย่างไรก็ดีสิ่งหนึ่งที่แน่นอนที่สุดคือ การแสดงออกเหล่านี้เป็นสิ่งที่แยกมนุษย์ออกจากสัตว์ เพราะสัตว์ไม่มีดนตรี ไม่มีความงามทางศิลป์ ฯลฯ

นอกจากนี้แล้วมนุษย์ยังแตกต่างจากสัตว์ตรงคำว่า “การดำรงอยู่” (Exist) และ “การดำรงชีวิต” (live) มนุษย์เราไม่ต้องการเพียงแต่เพื่อดำรงชีวิตอยู่เท่านั้น แต่มนุษย์เรายังมีความต้องการสิ่งอื่น ๆ เช่น อยากรวยมากขึ้น อยากมีรถหรู ๆ ขับ อยากมีบ้านสวย ๆ อยู่ อยากมีความเป็นอยู่ที่สุขสบายมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้น ในทางตรงกันข้ามสัตว์ไม่ได้มีความต้องการอยากจะได้เช่นเดียวกับมนุษย์

ที่มา >>>> http://www.lks.ac.th/band/page1.htm

นิสัยกับการฟังเพลง #

การฟังเพลงของคุณบอกถึงความรู้สึกต่างๆที่มีอยู่.....

คุณชอบเพลงฮิต ตามกระแสนิยม

คุณสนุกสนาน ร่าเริง ชอบเด่นดัง และเรียกร้องความสนใจ ทำตัวตามสมัยนิยม

คุณชอบเพลงดังในอดีต
คุณชอบจดจำอดีต หัวโบราณ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงความคิดง่ายๆ ยึดติดกับอดีต

คุณชอบเพลงที่คนร้องเสียชีวิตไปแล้ว

คุณวิตกจริต คิดมาก หงุดหงิด จดจำแต่อดีตที่ผ่านมาไม่ยอมลืม อารมณ์เปลี่ยนแปลงได้ง่าย

คุณชอบเพลงรักหวานซึ้ง
คุณเป็นคนโรแมนติก เพ้อฝัน มองโลกทุกอย่างสดใสเกินความเป็นจริง

คุณชอบชอบเพลงลูกทุ่ง
คุณเป็นคนทีมีน้ำใจ ใจเย็น จิตใจหนักแน่น ชอบช่วยเหลือคนอื่น และ รับฟังความคิดของคนอื่นเป็นที่ปรึกษา

คุณชอบเพลงประเภทพั้งค์
คุณมั่นใจในตัวเองมากที่สุด ทำอะไรตามใจ ไม่แคร์ใคร

คุณชอบเพลงร็อคแอนด์โรล
คุณมีความคล่องตัว ไม่อยู่นิ่ง หาอะไรทำตลอดเวลา ชอบแสดงออก

คุณชอบเพลงปลุกใจหรือเพลงมาร์ช
คุณเป็นคนรักจริง จริงใจ กล้าแสดงออก มีความคิดที่มีระเบียบแบบแผนและเชื่อมั่นในตัวเอง

คุณชอบเพลงเฉพาะที่ตัวเองชอบผสมท่วงทำนองต่างๆ
คุณรักอิสระ มีความคิดเป็นของตัวเอง มีการวางเป้าหมาย และแผนการในชีวิต มีความเชื่อมั่นตัวเองสูง

คุณชอบเพลงเพื่อชีวิต

คุณคิดล้ำหน้ากว่าคนอื่น และความคิดก้าวหน้าจนใครตามไม่ทัน มองโลกในมุมมองที่ต่างจากคนทั่วๆ

อ้างอิงที่มาจาก >>> http://www.papadahoro.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=525909&Ntype=1

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ฟังเพลงก่อนนอน ช่วยทำให้หลับเป็นสุข ,,,

นักวิจัยพบว่า การฟังเพลงก่อนนอน ช่วยให้นอนหลับอย่างเป็นสุข

บีซีนิวส์ - นักวิจัยชาวไต้หวันได้แนะนำให้ผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับ แม้ว่าจะนับแกะไปหลายร้อยตัวแล้วก็ตาม ให้ลองหันมาฟังเพลงเพื่อเป็นแก้ปัญหาแทน ซึ่งเหล่านักวิจัยได้ค้นพบว่า การฟังเพลงที่ช่วยให้ผ่อนคลาย เพียงแค่ 45 นาที ก่อนเข้านอนนั้น จะช่วยให้สามารถนอนหลับได้อย่างสงบสุข
กลุ่มนักวิจัยชาวไต้หวันได้เปิดเผยในวารสารเจอร์นัลออฟแอดวานซ์เนิร์ซซิง ว่า พวกเขาได้ศึกษาถึงรูปแบบของการนอนในผู้สูงอายุจำนวน 60 คน ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการนอน โดยให้ผู้ที่เข้าร่วมการวิจัยนั้น เลือกฟังเพลงก่อนที่จะเข้านอน ในขณะที่บางคนเลือกที่จะเข้านอนโดยไม่ฟังเพลงก็ได้ ซึ่งในกลุ่มของผู้ที่เลือกฟังเพลงก่อนนอนนั้น จะต้องเลือกฟังเทปเพลงจังหวะช้า ๆ อย่างเช่น เพลงสไตล์ แจ๊ซ โฟล์ก หรือออเครสตรา ก็ได้ ซึ่จะงมีอัตราจังหว่ะอยู่ที่ 60-80 จังหวะต่อนาที โดยเลือกขึ้นมา 1 ม้วนจากทั้งหมด 6 ม้วน
หลังจากนั้น ทางกลุ่มนักวิจัยก็พบว่ากลุ่มผู้สูงอายุที่เลือกฟังเพลงก่อนเข้านอนนั้น ได้มีพัฒนาการทางการนอนเพิ่มขึ้นถึง 35 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งพัฒนาการนั้นก็รวมไปถึงการนอนที่ดีและนานขึ้นในตอนกลางคืน และการลดอาการผิดปกติทางร่างกายต่าง ๆ ในตอนกลางวัน ด้วย
อนึ่ง นักวิจัยยังพบว่าการฟังเพลงช่วยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ซึ่งช่วยทำให้นอนหลับได้อย่างสงบ รวมไปถึงการช่วยให้หัวใจเต้นช้าลง และยังหายใจช้าลงอีกด้วย
ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ฮุ่ยหลิงไหล แห่งมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลฉือฉี กล่าวว่า

"กลุ่มผู้ที่ฟังเพลง มีพัฒนาการโดยรวม ดีขึ้น 26 เปอร์เซ็นต์ ในสัปดาห์แรก และระดับการพัฒนาก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อพวกเขาเชี่ยวชาญในกลวิธ๊ การผ่อนคลายด้วยดนตรี ที่ช่วยให้นอนหลับ"



ขอบคุณที่มา For Quality

ประโยชน์ของการฟังเพลง :)

การฟังเพลง
ถ้าฟังเพลง โดยไม่คิดอะไรวอกแวก ตั้งใจฟังมีสมาธิต้องไม่มีอารมณ์มาแทรกภายใน 2 – 3 นาที ที่เพลงบรรเลงจิตจะนิ่งขึ้น เกิดความสงบ ประโยชน์การเคลื่อนไหวร่างกายร่วมกับการฟังเพลง
- บริหารสมองสร้างความสมดุลทั่วร่างกายและจิตใจ
- ฝึกการประสานงานของประสาทมองเห็น การมองเห็น การรับฟังและการเคลื่อนไหว
- เพิ่มองศาและกำลังของการเคลื่อนไหว

การฟังเพลงที่มีท่วงทำนองที่ไพเราะ นุ่มนวล มีชีวิตชีวา สร้างสรรค์ ให้ความหมายที่ดี นอกจากเพลงที่ชอบฟังเป็นประจำแล้ว หากมีเวลาควรฟังเพลงให้ได้หลากหลายประเภท และไม่ควรฟังเพลงพร้อมกับทำงานที่ต้องใช้ความคิด อาจได้งานที่ไม่มีประสิทธิภาพพอ

ประโยชน์ของการฟังเพลง

1. ทำให้มีความสุข และเพลิดเพลิน
2. ลดความเจ็บปวด
3. มีสติความนึกคิดอารมณ์ที่ดี
4. ทำให้ผ่อนคลาย ลดความกังวล

ข้อแนะนำการฟังเพลง

- จังหวะ ช้า ๆ ปานกลาง, เร็ว,กระชับ
- ทำนองเพลงไพเราะ อ่อนหวาน,สนุกมีชีวิตชีวา สดชื่น ร่าเริง แจ่มใส
- เสียงนักร้อง ระดับปานกลางชวนฟัง ทุ้ม นุ่ม ใส กังวาน ชัด
- เครื่องดนตรี ไวโอลิน กีต้าร์ เปียโน ขิม ที่เล่นด้วยมนุษย์ เสียงจะแน่น

—————————————————————————-

ขอขอบคุณข้อมูล http://www.dtam.moph.go.th/alternative/viewstory.php?id=253
นิพนธ์ เสถียรวิริยคุณ

ซึ้งๆ ตอนนี้ !!!

ดูสิว่าพวกเธอน่ารักกันขนาดไหน

I'm Yours - Jason Mraz เพลงฮิตฟังสบาย

เสียงบำบัดจิตใจและสมอง

  เสียงบำบัดจิตใจและสมองที่กลุ่มดนตรีบำบัดสังเคราะห์ขึ้นประกอบด้วยเสียง 3 ประเภทได้แก่
  1. เสียงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ เสียงน้ำตก เสียงนก เสียงน้ำไหล เสียงลม เสียงพระเทศน์ เป็นต้น
  2. เสียงดนตรี ซึ่งเป็นดนตรีประเภท trance music หรือ rhythmic music ซึ่งมีลักษณะเสียงวนต่อเนื่อง
  3. เสียงความถี่บีต ซึ่งในแต่ละเพลงจะใช้ความถี่ต่างกันตามผลที่ต้องการ ผู้ฟังส่วนใหญ่ไม่สามารถรับรู้หรือได้ยิน
    เนื่องจากเสียงความถี่บีตมักมีความถี่ต่ำกว่าช่วงคลื่นที่หูมนุษย์ได้ยิน แต่จะถูกส่งผ่านกะโหลกศีรษะไปยังสมอง
    โดยที่ผู้ฟังไม่รู้ตัว
     เสียงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะทำให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์ตามประสบการณ์ในอดีตที่สัมพันธ์กับเสียงนั้นๆ และ
ช่วยหลอกล่อให้สมองและจิตใจไม่ให้จดจ่อกับเสียงความถี่บีตที่แฝงไว้ ส่วนเสียงดนตรีที่เป็น trance หรือ rhythmic music
ทำให้เกิดจินตภาพและกำหนดตำแหน่ง 3 มิติของเสียงที่ใช้กระตุ้นในสมองส่วนต่างๆ  
 ตัวอย่างเสียงบำบัดจิตใจและสมองทั้ง 6 ตัวอย่างที่สังเคราะห์โดยกลุ่มดนตรีบำบัด 
ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีรายละเอียดดังนี้

1. “JK_001_Sleep_induction” (ฟังแล้วง่วง) ใช้ Binaural beats เริ่มจาก 20 Hz ช่วงต้นเพลงเปลี่ยนเป็น 4 Hzช่วงท้ายเพลง ผสมกับเสียงธรรมชาติ เสียงระฆัง และ trance music

2. “JK_002_Deep_sleep” (ง่วงแล้วหลับ)ใช้ Binaural beats เริ่มจาก 8 Hz ช่วงต้นเพลงเปลี่ยนเป็น 2 Hz ช่วงท้ายเพลง ผสมกับเสียงธรรมชาติ และ trance music

3. “JK_003_Awakening” (ง่วงแล้วตื่น)ใช้ Binaural beats เริ่มจาก 4 Hz ช่วงต้นเพลงเปลี่ยนเป็น 15 Hz ช่วงท้ายเพลง ผสมกับเสียงธรรมชาติ เสียงระฆัง และผสม trance music ต้นเพลงและ rhythmic music ท้ายเพลง

4. “JK_004_Relaxation” (ตื่นแล้วสบาย) ใช้ Binaural beats เริ่มจาก 20 Hz ช่วงต้นเพลงเปลี่ยนเป็น 10 Hz ช่วงท้ายเพลง ผสมกับเสียงธรรมชาติ เสียงระฆัง trance music และ rhythmic music

5. “JK_005_Meditation (สบายแล้วมีสมาธิ) ใช้ Binaural beats เริ่มจาก 10 Hz ช่วงต้นเพลงเปลี่ยนเป็น 30 Hzช่วงท้ายเพลง ผสมกับเสียงธรรมชาติ เสียงระฆัง เสียง trance music และเสียงพระเทศน์ท้ายเพลง

6. “JK_006_Pain_reduction” (สบายแล้วงง) ใช้ Binaural beats เปลี่ยนแปลงไปมาอยู่ในช่วง 4-34 Hz ผสมกับเสียงธรรมชาติ เสียง sound effects ที่ pan ซ้ายขวา trance music และ rhythmic music
  

เสียใจแต่ไม่แคร์ (Whatever) - Waii Just Y.

เพลงที่มาแรงตอนนี้